กถาว่าด้วยพาหุสัจจะ พาหุสัจจะ ความเป็นผู้มีสุตะมาก ความเป็นผู้ฉลาดในกิจนั้นๆ อันเกิดขึ้นเพราะเรียนบ้าง เพราะฟังบ้าง ซึ่งพระพุทธวจนะหรือศิลปะภายนอกพระพุทธศาสนา
ความเป็นผู้มีสุตะในพระพุทธศาสนานั้น คือ ความเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งนวังคสัตถุศาสน์ ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทานะ อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ
ภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งนวังคสัตถุศาสน์ นั้น เป็นผู้ควรค่าแก่การบูชาตามนัยแห่งธรรมรตนะอีกด้วย
ส่วนความเป็นผู้ฉลาดของเหล่าคฤหัสถ์ เกิดขึ้นเพราะฟังหรือเรียนศิลปะภายนอก ชื่อว่าพาหุสัจจะของคฤหัสถ์ ซึ่งชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุนํามาซึ่งประโยชน์สุขในโลกทั้ง ๒ ในข้อนั้น มีเรื่องนี้ เป็นตัวอย่าง
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ นามว่า "เสนก" (อ่านว่า เส-นะ-กะ) ในกรุงพาราณสี เรียนสรรพศิลปะในกรงตักกสิลา สําเร็จแล้ว กลบมายังกรุงพาราณสีและได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งอำมาตย์ใหญ่ ดำรงอยู่ในฐานะราชครู คอยแสดงในธรรมสภาในทุกๆวันปักษ์
คราวนั้น มีพราหมณ์แก่คนหนึ่ง เที่ยวขอทานได้ทรัพย์มาพันกหาปณะ แล้วมาฝากไว้ในสกุลพราหมณ์สกุลหนึ่ง พราหมณ์ที่รับฝากเงินก็ใช้กหาปณะเสียแล้ว เมื่อถูกทวงถามก็ไม่อาจจะคืนให้ได้ จึงได้ยกธิดาของตนให้เป็นเมียแกไป
ทีนี้ พออยู่กันไป ฝ่ายนางพราหมณีนั้น ไม่อิ่มด้วยเมถุนกาม เพราะตนยังเป็นสาวอยู่ จึงทํามิจฉาจารกับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง แล้วก็ออกอุบายกับพราหมณ์ไว้ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ หรือเพื่อเปิดทางให้ชายชู้มาหาตนได้สะดวกนั่นเอง จึงแสร้งมายาพูดให้พราหมณ์ไปหาซื้อทาสหรือนางทาสีมาให้
แกรักมากจึงเชื่อเมีย จึงเที่ยวไปหาขอทานเพื่อเอาเงินไปหาซื้อทาส มาให้เมีย พอได้เงินมาแล้ว ก็แวะพักกินคำข้าวที่ห่อเป็นเสบียง ที่โคนไม้ มีโพรงต้นหนึ่ง
ด้วยความเผอเรอ แกจึงไม่ได้ผูกปากถุง แล้วลงไปดื่มน้ำ ขณะนั้น งูเห่าตัวหนึ่ง เลื้อยออกจากโพรง เข้าไปในถุงก้อนข้าวที่แกเปิดปากถุงไว้ พอพราหมณ์กลับมาไม่ทันดูข้างใน ผูกปากถุงตะพายแล้วก็ ออกเดินทางต่อ
ขณะที่กำลังจะออกจากใต้ต้นไม้ ก็ได้ยินคําที่รุกขเทพดาองค์หนึ่งบอกว่า "พราหมณ์ วันนี้ ถ้าท่าน พักอยู่ในระหว่างทาง ตัวท่านเองจักตาย; แต่ถ้าท่านไปถึงเรือนวันนี้, ภรรยาของท่านก็จักตาย"
แกฟังแล้วก็กลัวพลางเดินไปจนถึงประตูเมือง บังเอิญวันนั้น ก็เป็นวันอุโบสถพอดี แกเห็นคนทั้งหลายต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นติดมือไป เพื่อฟังธรรมของพระโพธิสัตว์
พอถามคนแล้วก็ทราบว่า อ้อ เขาไปฟังธรรมกับเสนกบัณฑิต นั่นเอง ท่านคงจะกล่าวคําอะไร ๆ เพื่อช่วยกําจัดความโศกของเราออกได้ ไปฟังธรรมกับเค้าดีกว่า" ว่าแล้ว ก็ไปกับคนเหล่านั้น ไปถึงก็ได้ยืนร้องอยู่ที่ท้ายบริษัททั้งที่ถุงห่อข้าวก็ยังอยู่ที่คอ
พระโพธสัตว์ เห็นแกเข้า ก็คิดว่า "เอ อีตาเฒ่าคนนี้ คงจะมีเรื่องทุกข์ใจเป็นแน่" จึงถามแล้วก็ได้ทราบความนั้นจากพราหมณ์ และถูกตามพราหมณ์ถามต่อว่า ท่านบัณฑิตครับ ผมได้ยินเทวดาบอกว่า วันนี้ ไม่ข้าหรือไม่ก็เมีย จะตาย เพราะอะไรหรือครับท่าน?"
พระโพธิสัตว์ ใคร่ครวญดู ก็รู้เหตุทั้งหมดได้ด้วยญาณ ถามปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วจึงบอกว่า นี่นะ งูมันอยู่ในห่อข้าวท่าน ถ้าท่านขึ้นจากท่าน้ำแล้วมากินข้าวต่อ ท่านจะถูกกัดตาย แต่ถ้าไปถึงบ้าน ภรรยาท่านก็จะสอดมือเข้าไปหยิบของในถุง เช่นนั้น นางก็จักถูกงูกัดตาย
เพราะฉะนั้น ท่านวางถุงนั้นลงแล้วแกะถุงออกซะนะ ลุงนะ
พราหมณ์ก็ทำตาม งูก็เลื้อยออกมาแผ่พังพานขู่เสียงดัง "ฟ่อๆ" อยู่ เลยถูกหมองูจับไปปล่อย
พวกคน พากันร่าเริงยินดีว่า "ท่านเสนกบัณฑิตนี้ พยากรณ์ได้ดั่งพระสัพพัญญูพุทธเจ้า" แล้วก็พา กันโบกสบัดผ้า ปรบมือ และแซ่ซ้องสาธุการ
เสียงสาธุการประการหนึ่งว่าเสียงมหาปฐพีถล่ม ฝนแก้ว ๗ ประการ ก็ตกดังฝนลูกเห็บ เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ แม้พราหมณ์ก็บูชาพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยกหาปณะที่ตนได้มา
พระโพธิสัตว์ ไม่รับกหาปณะ กลับเพิ่มให้แก่พราหมณ์อีก ๓๐๐ กหาปณะ เพื่อให้ครบพัน แลวถามว่า"ใครใช้ให้ท่านไปขอทรัพย์
พราหมณ์ “ภรรยาของข้าพเจ้าเองครับ
เสนกบัณฑิต “ภรรยาของท่าน แก่แล้วหรือยังสาว ?
พราหมณ์บอก ยังสาวอยู่ครับ
พระโพธิสัตว์ จึงว่า "ถ้าอย่างนั้น นางคงทํามิจฉาจาร(เล่นชู้) กับชายอื่น จึงใช้ท่านไป ถ้าท่านนํากหาปณะ ไปให้นาง นางก็จักเอาไปให้ชายชู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เชื่อ พอไปถึงบ้านแล้ว ก็ทำทีแอบซ่อนเงินไว้ไม่ให้นางรู้ ท่านจะได้ถึงบางอ้อซะที
พราหมณ์ก็ทําตาม พอไปถึงเรือนก็เรียกว่า "เมียจ๋าๆ ผัวมาแล้ว !"
ขณะนั้น เมียแกก็กำลังอยู่กับชายชู้พอดี พอได้ยินเสียงของพราหมณ์ จึงดับไฟเสีย แล้วไปเปิดประตู ให้ผัวเข้าไปในเรือนแล้วถามว่า
"ได้อะไรมาบ้าง?"
แกบอกว่า "ได้เงินมาพันหนึ่ง เก็บไว้โน่น."
จากนั้น นางก็แอบไปบอกชายชู้ ชายชู้นั้นก็แอบไปฉกเอาทรัพย์นั้นหนีไปอาดหลาด
รุ่งขึ้น พราหมณ์ไม่เห็นทรัพย์นั้นจริงๆ จึงได้เข้าไปหาพระโพธสัตว์และเล่าเรื่องให้ทราบ พระโพธิสัตว์ก็ออกอุบายจับโจรให้ทันทีว่า
วันที่ ๑ ให้ท่านเชิญพราหมณ์ จำนวน ๑๔ คน มากินเลี้ยง คือ พราหมณ์กุลุปกะของท่าน ๗ คน ของภรรยาท่าน ๗ คน จากนั้นก็ค่อยๆลดจำนวนลงวันละคนๆ จนถึงวันที่ ๗ ก็จะเหลือของท่าน ๑ คน ของเมียท่าน ๑ คน แล้วฝ่ายที่เหลืออยู่ของเมียท่าน ๑ คนนั่นน่ะ เป็นใคร มาบอกเราด้วยนะ
พราหมณ์ ก็ทำตาม
พอรู้ตัวแล้ว พระโพธิสัตว์ก็เชิญพราหมณ์นั้นมา ถามว่า
"เป็นท่านใช่มั้ย ที่เอาเงินหนึ่งพันของตาพราหมณ์นี้ไป?"
เปล่านะ ท่านบัณฑิต
พอปฏิเสธก็ขู่ว่า "นี่ เราคือเสนกบัณฑิตนะ รู้มั้ย ?
พราหมณ์นั้น พอรู้ก็กลัว แล้วก็รีบรับสารภาพว่า "ข้าพเจ้าเอาไปเองครับ เก็บไว้ที่โน้น...
พระโพธิสัตว์ จึงใช้พวกบุรุษให้นําทรัพย์นั้นมาแล้ว ให้ลงราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร ให้เนรเทศเสียจากพระนคร แล้วให้ทรัพย์พันหนึ่งนั้นพร้อมด้วยยศใหญ่แก่พราหมณ์เฒ่า
นอกจากนี้ ก็ชุบเลี้ยงแกกับเมียให้อยู่ในสํานักของตนด้วย
พระโพธิสัตว่์นั้น บําเพ็ญปรมัตถบารมีให้บริบูรณ์ด้วยการช่วยเหลือพราหมณ์ออกจากทุกข์
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ในจริยาปิฎกว่า
"เรา เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา จึงเปลื้องพราหมณ์จากทุก์ได้
ผู้อื่น ที่จะเสมอกับเราด้วปัญญา ไม่มี นี้เป็นปัญญาบารมีของเรา."
จะเห็นได้ว่า ความเป็นผู้ฉลาดของเหล่าคฤหัสถ์ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะได้ฟังหรือศึกษาวิชาความรู้มามากๆ ถ้าใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกต้อง ไม่เป็นโทษ ไม่เอาเปรียบผู้อื่นแล้ว วิชาความรู้เหล่านั้น ก็จัด เป็นมงคลของชีวิต เพราะเป็นเหตุนํามาซึ่งประโยชน์สุขในโลกนี้และโลกหน้า ดังเสนกบัณฑิตนี้แลฯ
ศ.คำเวียง