ศิลปะหมายถึงความเป็นผู้ฉลาดในหัตถกรรม มี ๒ อย่าง คือศิลปะของบรรพชิตและคฤหัสถ์
ศิลปะของบรรพชิตนั้น ได้แก่การตกแต่งสมณบริขาร มีการกะและเย็บจีวรเป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง พรรณนาไว้ ส่วนศิลปะของคฤหัสถ์นั้น มีอยู่เป็นจำนวนมาก จำแนกตามประเภทแห่งกิจการหรือความฉลาด(เชี่ยวชาญ)ตามแต่ละสาขาวิชา
ในระหว่างศิลปะแห่งบรรพชิตและคฤหัสถ์นั้น นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง แต่ว่าในมงคลสองอย่างนั้นมีความแตกต่างกันในบางประการคือ ศิลปะของบรรพชิต เป็นไปเพื่อนำประโยชน์สุขมาให้แก่ผู้ปฏิบัติในโลกทั้งสอง(โลกนี้และโลกหน้า) ทั้งแก่ตนและผู้อื่น ส่วนศิลปะของคฤหัสถ์นั้น เป็นไปเพียงเพื่อนำประโยชน์มาให้ในโลกนี้เท่านั้น
เมื่อขึ้นชื่อว่าศิลปะที่ประกอบขึ้นด้วยความสุจริตเป็นที่ตั้งแล้วนั้น ศิลปะนั้นย่อมเป็นหนทางนำมาให้ซึ่งทรัพย์สินเงินทองและยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ผู้นำศิลปะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตัวอย่างเช่น บุรุษเปลี้ยผู้ใช้ศิลปะในการดีดก้อนกรวดไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ จนทำให้ตนเองได้รับทรัพย์สินเงินทองเรือกสวนไร่นามากมายเลยทีเดียว จึงขอเล่าเพียงสั้นๆ ก่อนว่า ในอดีตกาล ได้มีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่งในเมืองพาราณสี เป็นผู้ฉลาดในศิลปะการดีดก้อน กรวด ทุกวัน พวกเด็กๆ จะเอารถมารับเขาไปที่ต้นไทรใหญ่ที่อยู่ใกล้ประตูเมือง เสร็จแล้วก็จ้างให้เขาใช้ศิลปะการดีดก้อนกรวดนั่นแหละ ดีดไปที่ใบต้นไทร เพื่อให้เกิดเป็นรูปร่างสัตว์ต่างๆเช่น เป็นช้าง เป็นม้าบ้าง ให้พวกเขาดู เสร็จแล้วก็พากันปรบมือชอบใจใหญ่ที่ได้เห็นรูปต่างๆ ที่เกิดจากการใช้ก้อนกรวดดีไปที่ใบไทรนั้น
ทีนี้วันหนึ่ง ก็มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ได้เสด็จไปถึงสถานที่นั้น พวกเด็กๆ กลัวตำรวจวัง จึงพากันวิ่งหนีไป ส่วนเจ้าบุรุษเปลี้ยหนีไปไม่ได้ เลยได้แต่หมอบอยู่ที่โคนต้นไทร พระราชาไปถึงแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นว่าใบไทรทั้งหลายมีรูเป็นรูปสัตว์ต่างๆ จึงตรัสถามว่า เป็นฝีมือใครกัน”
พวกราชบุรุษก็กราบทูลว่า “ฝีมือบุรุษเปลี้ย พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงดำริที่จะให้บุรุษเปลี้ยนำศิลปะการดีดก้อนกรวดไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับพระองค์เอง จึงตรัสเรียกบุรุษเปลี้ยมาถามว่า "ในวังเรามีปุโรหิตคนหนึ่ง เป็นคนปากจัด พูดมาก เมื่อเขาได้พูดแล้ว คนอื่น ก็อย่าหวังว่าจะได้พูดมั่ง เจ้าจะมีวิธีที่จะทำให้เขาสงบปากสงบคำได้บ้างหรือไม่"
“มี พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอขี้แพะซักหนึ่งทะนาน (เครื่องตวงอย่างหนึ่ง ทำด้วยกะโหลกมะพร้าว เป็นต้น) เดี๋ยวข้าพระองค์จัดการให้
ว่าแล้วก็ลงมือวางแผนการ คือ เขาจะเข้าไปนั่งซ่อนตัวอยู่ในผ้าม่านตรงที่ปุโรหิตคนนั้นนั่ง เสร็จแล้วก็เจาะรูผ้าม่านช่องเล็กๆไว้พร้อมกับนำขี้แพะไปวางไว้ใกล้ๆมือ
พอมีการว่าราชการ ก็เริ่มละ ไอ้ปุโรหิตคนนั้นก็พูดคนเดียวฉอดๆ คนอื่นได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ไม่มีโอกาสได้พูดเลยแม้แต่น้อย ในจังหวะที่ปุโรหิตกำลังอ้าปากพูดนั่นแหละ เจ้าบุรุษเปลี้ย ก็ดีดขี้แพะเข้าไปในปากทีละก้อนๆ โดยที่ท่านปุโรหิตไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกินขี้แพะเข้าไป จนกระทั่งพระราชาได้ตรัสแก่ปุโรหิตว่า ให้รีบไปกินน้ำเพื่อสำรอกขี้แพะออกจากท้องซะ ไม่เช่นนั้นท่านจะท้องอืดตายเอานะ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปุโรหิตท่านนั้น ก็กลับเป็นคนนิ่งเงียบสุขุมมากขึ้น ไม่พูดมากอีกเลย พระราชาทรงพอพระทัยมาก จึงได้พระราชทานทรัพย์สินไร่นาให้แก่บุรุษเปลี้ยคนนั้น เป็นผลตอบแทนจากการที่นำเอาศิลปะนั้นไปใช้ในทางที่สุจริตและเป็นประโยชน์
แต่ในขณะเดียวกัน หากคนที่มีศิลปะแล้ว นำเอาศิลปะไปใช้ในทางที่ไม่สุจริตและเพื่อเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นแล้ว ศิลปะนั้น ก็อาจจะย้อนกลับมา สร้างความฉิบหายให้ตัวเขาก็ได้ ดั่งตัวอย่างกลอนสอนใจจาก "นิราศภูเขาทอง" ที่สุนทรภู่แต่งเอาไว้เกี่ยวกับตัวอย่างของศิลปะการใช้คำพูดว่า หากจะพูดอะไรต้องคิดก่อนพูด ถ้าพูดโดยไม่คิด คำพูดก็จะย้อนมาทำร้ายเราได้ว่า
“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา”
และแถมให้อีกหนึ่งกลอนก็ได้ว่า
“อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ”
ดังนี้เป็นต้น
ทีนี้ก็ย้อนกลับมาเข้าเรื่องที่ว่า ผลของการนำศิลปะไปใช้ในทางที่เป็นโทษ นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังสร้างความเดือดร้อนถึงกับชีวิตให้ตนเองได้เลยทีเดียว ดังเรื่องของบุรุษอีกคนหนึ่ง ที่จะเล่าดังต่อไปนี้ว่า เมื่อชื่อเสียงของบุรุษเปลี้ย ที่ใช้วิชาความรู้เกี่ยวกับศิลปะการดีดก้อนกรวด จนได้ดิบได้ดีแล้ว ก็มักจะมีคนที่คิดอยากจะมาฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อร่ำเรียนศิลปะวิทยาด้วย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่ง ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์เรียนศิลปะกับบุรุษเปลี้ยแล้ว พอเรียนจบอาจารย์(บุรุษเปลี้ย) ก็สั่งว่า ถ้าเจ้าจะทดลองวิทยายุทธ์นะ เอ็งก็คิดๆเอาเองก็แล้วกันว่าจะทดลองกับอะไรดี ระหว่างทดลองกับคน สัตว์ หรือสิ่งของ หากไปลองแล้วทำให้คนตายเอ็งอาจถูกกระทืบตายเอาง่ายๆหนา ถ้าจะให้แนะนำนะ จารย์ขอแนะนำว่าให้ทดลองคนที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ที่หวงแหนดูแลจะดีที่สุด ว่างั้น
ไอ้เจ้าลูกศิษย์ได้ฟังอาจารย์แนะนำแล้ว ก็ได้แต่พกก้อนกรวดเอาไว้ในพกผ้าเฉยๆ ยังมีโอกาสได้ทดลองวิทยายุทธ์ที่ร่ำเรียนมาเลย เพราะมองไปในที่ไหนๆแล้ว ไม่ว่าคน สัตว์ หรือสิ่งของทั้งหลาย ต่างก็มีเจ้าของทั้งนั้น ขืนทำไปก็จะโดนเขาฆ่าตายหรือปรับเงินแน่ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มองไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าสุเนตต์ ผู้กำลังเข้าบิณฑบาตในเมือง คิดว่า “อืม...ผู้นี้ เป็นผู้ไม่มีมารดาและบิดาแน่นอน” คิดแล้วก็ดีดก้อนกรวดผึงออกไป เป้าหมายคือช่องหูข้างขวาของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก้อนกรวดที่ถูกดีดไปอย่างแรง แหวกอากาศลอยเข้าไปทางช่องหูขวาแล้วทะลุออกทางหูข้างซ้ายทันที พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เกิดทุกขเวทนา ไม่สามารถไปบิณฑบาตต่อได้ จึงเหาะไปแล้วปรินิพพานที่บรรณศาลาของตน
พวก มนุษย์ที่เคยอุปัฏฐาก ไม่เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาต คิดว่าท่านไม่สบายหรือเปล่า จึงพากันออกไปหาตรงที่อยู่ของท่าน พอไปถึงก็เห็นท่านปรินิพพานเสียแล้ว ก็พากันร้องให้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายไอ้เจ้าบุรุษชั่วคนนั้น ก็ไปมุงดูกับเค้าด้วย พอเห็นก็จำได้ว่า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปที่ตนเองทดลองศิลปะนั่นเอง แล้วก็(เจือก)ไปพลั้งปากพูดว่า “ฝีมือผม ฝีมือผมเองครับ” (เจ๋งมะ)..
พวกมนุษย์ทั้งหลายพอได้ฟังเท่านั้น ก็โกรธจัด ต่างพากันรุมกระทืบหมอนั่นจนตุยคาที่อยู่ตรงนั้นนั่นเอง
บุรุษชั่วคนนั้น ตายแล้วไปหมกไหม้ในมหานรกอเวจี ตราบจนแผ่นดินนี้หนาขึ้นถึงหนึ่งโยชน์(๑๖ กิโลเมตร) ด้วยเศษแห่งวิบากที่เหลือ จึงได้มาเกิดเป็น สัฏฐิกูฏเปรต ที่ภูเขาคิชฌกูฏ
สัฏฐิกูฏเปรต ตัวนี้ มีลำตัวสูง ๓ คาวุต (มาตราวัดความยาวในสมัยโบราณ เท่ากับ ๔,๐๐๐ ทัณฑะ หรือ ๒ โกศ หรือ ๑ ใน ๔ ของโยชน์ หรือ ๑๐๐ เส้นในปัจจุบัน) ในทุกๆวัน จะมีค้อนเหล็ก ที่มีดวงไฟลุกโชน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ด้าม กระหน่ำทุบลงบนกระหม่อมของเขา ทำให้ศีรษะแหลกละเอียดแล้ว กลับขึ้นมาตั้งขึ้นใหม่แล้วถูกทุบซ้ำๆแบบนี้อีก ไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมเลยทีเดียว
เห็นหรือยังครับว่า การใช้ศิลปะนั้น ถ้านำไปใช้ในทางที่ดีและเกิดประโยชน์ ก็อาจจะสร้างทรัพย์สมบัติเงินทองมหาศาลให้แก่ตนเองได้มากมายก่ายกอง แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ไปใช้เพื่อข่มเหงรังแกคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อนแล้ว ผลกรรมจากการกระทำนั้น ก็จะสร้างความทุกข์ทรมานและความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและครอบครัวกันเลยทีเดียว
วันนี้ก็ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ขอบพระคุณที่ติดตาม ไว้พบกันในหัวข้อต่อไปครับ
ศ.คำเวียง